วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“มนุษย์ต่างดาว” มีจริงหรือไม่

มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่? คำถามที่มนุษย์โลกสงสัยและค้นหามาช้านาน แต่ก็ยังปราศจากคำตอบที่ชัดเจน

“สิ่งมีชีวิตสีเขียว” ที่ ดร.อัลลี แอร์โรเวย์ ตัวละครเอกในเรื่อง “คอนแทค” มุ่งมั่นตามหามาตลอด สอดคล้องกับความกระหายใคร่รู้ของมนุษย์ที่ต้องการติดต่อสื่อสารกับชีวิตที่ อยู่ต่างดาว

“คอนแทค” เกิดจากการผสมผสานเรื่องราวที่มีอยู่จริงเข้ากับเหตุการณ์สมมติได้อย่างลง ตัว ถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ที่ตื่นเต้น ล้ำจินตนาการ โดยมีการอ้างถึงโครงการ “เซติ” ที่มีอยู่จริง

“เซติ” (Search for Extraterrestrial Intelligence: SETI) หรือ การค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงปัญญานอกโลก ได้ทุนหลักจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) โดยใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดใหญ่ตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านอกโลก ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

การค้นหาสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกเริ่มมีขึ้นอย่างจริงจัง โดยปี 2518 ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุ เรียกว่า “อะรีซิโบเมสเซจ” จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุอะรีซิโบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เปอร์โตริโก ถูกส่งไปยังกระจุกดาวฤกษ์ทรงกลม เอ็ม13 ในกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส ที่ห่างจากโลก 25,000 ปีแสง

สัญญาณที่ส่งออกไปสามารถจัดเรียงได้ 2 รูปแบบ แบบไม่มีความหมาย และเป็นรูปภาพ ซึ่ง ประกอบด้วย ตัวเลข, ลักษณะดีเอ็นเอ, ลักษณะของมนุษย์โลกและข้อมูลของประชากรโลก, ระบบสุริยะของเรา สุดท้ายคือ กล้องโทรทรรศน์วิทยุและจานที่เราใช้รับ-ส่งสัญญาณ

กว่าสัญญาณที่เราส่งไปจะถึงที่หมายต้องใช้เวลาถึง 25,000 ปี และกว่าที่สัญญาณตอบกลับ (หากมีจริง) จะเดินทางมาถึงโลกของเราก็อีก 25,000 ปี ซึ่งรวมแล้วก็ 50,000 ปี แต่เหนือสิ่งอื่นใด การส่งสัญญาณนี้ถือเป็นการประกาศความสำเร็จทางเทคโนโลยีของมนุษย์มากกว่าที่ จะมุ่งติดต่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่อยู่ไกลโพ้น

แม้ที่ผ่านมานักดาราศาสตร์สามารถจับสัญญาณแปลกประหลาดได้มากมาย ทว่าไม่มีสัญญาณใดที่รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณที่มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอได้รับเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2520 เป็นคลื่นวิทยุจากนอกโลกที่น่าฉงนไม่น้อย ถอดเป็นคำออกมาว่า “ว้าว” และกลายเป็นชื่อเรียกขานสัญญาณนี้ (Wow! signal)

กระทั่งปี 2508 ปริศนามนุษย์ดาวอังคารก็คลี่คลายลงบ้างเมื่อยานมาริเนอร์ 4 สำรวจดาวอังคารลำแรกของสหรัฐฯ บันทึกภาพพื้นผิวดาวอังคารได้มากมาย และชัดเจนเลยว่าบนดาวแดงปราศจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อาศัยอยู่ หลังจากนั้นก็มียานอวกาศหลายลำถูกส่งไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง

นักวิทยาศาสตร์ได้ตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อยานไวกิ้งที่นาซาส่งไปสำรวจดาวแดงเมื่อปี 2518 ถ่ายภาพก้อนหินที่คล้ายใบหน้าได้บนดาวอังคาร ซึ่งก็มีทั้งที่ว่าเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ต่างดาว ขณะที่อีกฝ่ายอธิบายว่าเกิดจากแสงและเงาทำให้มองดู้คล้ายใบหน้าคน

ส่วนตัวอย่างก้อนหินและดินบนดาวอังคารที่ยานไวกิ้งนำกลับมาด้วย นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์องค์ประกอบต่างๆ แล้ว ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิต

หลายปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ของนาซาแถลงว่า ก้อนหินที่พบในทวีปแอนตาร์กติกา เป็นอุกาบาตที่มาจากดาวอังคาร ทั้งยังมีร่องรอยของจุลชีพโบราณที่เคยมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารเมื่อหลายล้าน ปีก่อนที่จะตกลงมายังโลกและถูกฝังอยู่ที่นั่นกว่าหมื่นปี

ดร.ศรันย์ โปษยะจินดา รอง ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) อธิบายว่า ใน กาแล็กซีทางช้างเผือกนั้นยังมีดาวฤกษ์อีกตั้ง 2 แสนล้านดวง มีระบบสุริยะอีกมากมาย จึงเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวดวงอื่นๆ นอกจากโลก แต่อาจยากสำหรับมนุษย์ที่จะหาเจอได้ในช่วงชีวิตของเรา

“นักชีวดาราศาสตร์ที่สนใจศึกษาเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกจะมุ่งค้นหา น้ำที่อยู่ในสถานะของเหลว เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องมีน้ำเป็นองค์ประกอบ ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์จะเกิดขึ้นได้ต้องมีน้ำที่อยู่ในสถานะของเหลวเป็นตัว กลาง จะเป็นของแข็งหรือก๊าซ” รอง ผอ.สดร. ชี้แจง

แต่ ศ.ดร.วิสุทธิ์ ใบไม้ นักชีววิทยา ผอ.โครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย หรือบีอาร์ที มองต่างออกไปว่า แม้ เป็นดาวที่ไม่มีน้ำก็อาจมีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยได้เหมือนกัน เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอาจไม่ต้องการปัจจัยการดำรงชีวิตเช่นเดียวกับที่ มีอยู่บนโลกของเรา

“สิ่งมีชีวิตบนโลกอยู่บนพื้นฐานของน้ำและคาร์บอน แต่สิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่ได้เป็นเช่นเดียวกับเรา อาจไม่ต้องการออกซิเจน แต่ใช้พลังงานจากรังสีแทนก็ได้ เพราะนิยามของสิ่งมีชีวิตคือ เคลื่อนไหวได้ สามารถสืบพันธุ์ มีลูกหลานดำรงพันธุ์ได้”

ศ.ดร.วิสุทธิ์ แจงต่อว่า หากสิ่งมีชีวิตที่ลอยมาในอวกาศตกลงบนดาวอังคารและเจริญเติบโตได้ก็กลายเป็น สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ซึ่งโลกกับดาวอังคารอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน สิ่งแวดล้อมต่างกัน สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็อาจต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนโลก

“จากการสำรวจพบน้ำแข็งบนดาวอังคาร นัก วิทยาศาสตร์ก็คาดคะเนว่าในอดีตบนดาวอังคารเคยมีน้ำเต็มไปหมด เหมือนอย่างโลกของเราตอนนี้ เป็นไปได้ว่าอาจเคยมีหรือมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคาร ส่วนโลกของเราก็เคยมีนักวิทยาศาสตร์ดาดการณ์ว่าอีก 1 พันล้านปี น้ำจะเหือดหายไปจากโลกเช่นกัน” ศ.ดร.วิสุทธิ์กล่าว

ด้าน ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ หัวหน้าหน่วยบริหารจัดการความรู้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโยลีชีวภาพ (ไบโอเทค) ก็เชื่อว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นอาจมีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่เหมือนกัน แต่การจะมีสิ่งมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาได้นั้น ต้องเป็นดาวเคราะห์ที่มีความเสถียรเช่นเดียวกับโลกของเราเป็นเวลานับหมื่นล้านปี มีน้ำ มีอุณหภูมิ และวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่เหมาะสม

สำหรับ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ นักชีวเคมี และ รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เห็นว่า นัยหนึ่งมนุษย์และสัตว์ต่างๆ บนโลกก็อาจเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่ติดมากับฝุ่นผงอวกาศในลูกอุกกาบาตก็ได้ ซึ่งในจักรวาลนั้นเราสามารถตรวจพบสารอินทรีย์ที่เป็นจุดกำเนิดสิ่งมีชีวิต เต็มไปหมด ส่วนว่าจะมีรูปร่างหน้าตาหรือมีภูมิปัญญาอย่างไรนั้นก็คงต้องแล้วแต่ปัจจัย บนดาวที่กำเนิดนั้นๆ เป็นตัวกำหนด

อย่างไรก็ดี ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ ที่หันมาศึกษาค้นคว้าเรื่องทางจิต รวมถึงจานบินและมนุษย์ต่างดาว ยืนยันว่ามีจริงแน่นอน ทั้งยังเคยพบเห็นและถ่ายภาพได้หลายต่อหลายครั้ง จึงทำให้เขาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนสามารถติดต่อกับพวกที่อยู่บนดาวอื่นได้

ดร.เทพนม เล่าต่อว่า มนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว จากหลักฐานต่างๆ ทั้งในถ้ำที่ จ.กาญจนบุรี หรือในจีน ซึ่งรายงานการค้นพบจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่มีอยู่ทั่วโลก จะเห็นมนุษย์ต่างดาวมีลักษณะต่างๆ แม้แต่พวกที่เป็นหุ่นยนต์ก็ยังมี

อย่างไรก็ดี ดร.เทพนม ยังบอกอีกว่า เคยมีการสำรวจพบสิ่งที่คล้ายพีระมิด อนุสาวรีย์ หรือตึกสูง บนดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดวงจันทร์ ซึ่งคาดกันว่าต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาสร้างขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ได้แน่ แต่ข้อมูลบางอย่างรัฐบาลของประเทศที่สำรวจพบจำเป็นต้องปกปิดไว้เป็นความลับ ทางการทหาร

ท้ายที่สุด ดร. เทพนม สรุปว่า ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ ย่อมจะสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ทรงภูมิปัญญาอยู่นอกจากโลกของเรา แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอาจไม่เหมือนบนโลก มีวิถีดำรงชีวิตที่แตกต่างกันไป อาจไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจน น้ำ หรือกินอาหารเหมือนอย่างที่พวกเราต้องการ

อย่างไรก็ดี การ พบเห็นหรือถ่ายภาพจานบินที่ปรากฏบนโลกของเรานั้น ดร.นำชัยชี้ว่า นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อแน่ๆ ว่ามีจริง เพียงแต่ที่เห็นกันนั้นไม่ใช่ของจริง และหากย้อนถามพวกเราเองว่า ถ้าเราจะเดินทางไปดาวดวงอื่น เราจะไปอย่างเปิดเผย หรือจะไปถึงแล้วก็หลบๆ ซ่อนๆ ไม่แสดงตัวว่าเรามาแล้ว

“ไม่ สมเหตุสมผลเลยที่มนุษย์ต่างดาวเดินทางมายังโลกของเราเป็นระยะทางหลายล้านปี แสงเพื่อมาหลบๆ ซ่อนๆ มิสู้เปิดเผยตัวตน แสดงเจตนารมณ์ และติดต่อกันอย่างเป็นทางการดีกว่าหรือ” ดร.นำชัย แสดงความเห็นทิ้งท้าย

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


history-of-video
play-fighting-online
free-printable-bridal-shower
printable-board
free-motorola
free-online-fighting
free-mac
cell-phone-downloads
christmas-for-kids
free-card-game-downloads

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น