วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ยันอุกกาบาตตกที่เปรูจริง อาจเป็นเหตุชาวบ้านป่วยร่วมร้อย

นักธรณียัน "อุกกาบาต" ตกที่เปรูจริง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุอาการเจ็บป่วยของชาวบ้านกว่า 200 คนในละแวกดังกล่าว จากก๊าซพิษที่ทำน้ำในหลุมเดือดระหว่างการกระแทก

ประชาชนในท้องถิ่นของเปรูเผยว่ามีลูกไฟหล่นลงมาจากท้องฟ้าและพุ่งชน พื้นที่ราบของเมืองคารานคัส (Carancus) ในรัฐแอนดร์ (Andre) บริเวณชายแดนใกล้กับประเทศโบลิเวียเมื่อวันเสาร์ที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดหลุมกว้างประมาณ 30 เมตร และลึกประมาณ 6 เมตร และหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีผู้คนเจ็บป่วยนับร้อย

จอส เมแชร์ (Jose Mechare) นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันแร่และโลหวิทยา (Mining and Metallurgical Institute) แห่งเปรูกล่าวว่า นักธรณีวิทยาได้ยืนยันจากการวิเคราะห์องค์ประกอบของลูกไฟดังกล่าวพบว่าเป็น "หินอุกกาบาต" อย่างแน่นอน และความร้อนจากอุกาบาตอาจต้มน้ำในหลุมอุกาบาตดังกล่าวได้นาน 10 นาทีจนเกิดไอที่ทำให้ผู้คนในละแวกใกล้เคียงเจ็บป่วย

"เรายังไม่ได้รับข้อมูลครบถ้วนว่าไม่มีการปนเปื้อน" เมแชร์กล่าว

ด้านจอร์จ โลเปซ (Jorge Lopez) ผู้อำนวยการแผนกสาธารณสุขในท้องที่ที่อุกาบาตตกเผยว่ามี ประชาชนราว 200 คน เจ็บป่วยจากอาการปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียร และมีปัญหาในการหายใจ ซึ่งมีสาเหตุจากการได้รับไอสารพิษที่ปนเปื้อนในหลุมอุกกาบาตอย่างไรก็ดีทีมแพทย์ที่รุดตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวเผยว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอุกกาบาตได้ทำให้ผู้คนล้มเจ็บ

ขณะที่ มาร์ไทน์ ฮันลอน (Martine Hanlon) ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นของเปรูรายงานเพิ่มเติมว่าผู้เชี่ยวชาญไม่เชื่อว่า อุกกาบาตเป็นสาเหตุในอาการเจ็บป่วยของร่างกาย หากแต่คิดว่าปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากการกระทบพื้นดินของอุกกาบาตอาจปลดปล่อยสารพิษอย่าง "ซัลเฟอร์" และ "อาร์เซนิก" (สารหนู)

ทั้งนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับหลุมอุกกาบาตกล่าวว่าพวกเขาได้ กลิ่นของซัลเฟอร์อย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอุกาบาตกระแทกพื้น ซึ่งกระตุ้นให้รู้สึกปวดท้องและปวดศรีษะ แต่จอส ไอซิสสุกะ (Jose Isisuka) นักธรณีจากจากสถาบันเดียวกับเมแชร์กล่าวว่าเขายังรู้สึกกังขากับรายงาน เกี่ยวกับกลิ่นของซัลเฟอร์

ส่วนวิศวกรจากสถาบันนิวเคลียร์แห่งเปรู (Peruvian Nuclear Energy Institute) ก็เผยว่าตรวจสอบไม่พบการแผ่รังสีจากหลุมอุกกาบาตดังกล่าวแต่อย่างใด และเขายังตัดข้อสันนิษฐานว่าวัตถุที่หล่นลงมานั้นอาจจะเป็นดาวเทียม

ด้านโมเดสโต มอนโทยา (Modesto Montoya) สมาชิกของทีมแพทย์ที่เข้าตรวจสอบพื้นที่อุกาบาตกล่าวว่ากลัวอาจกระตุ้นโรค ทางจิตวิทยาให้กับคนในพื้นที่ โดยขณะอุกกาบาตตกได้ทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเลวร้ายเมื่อสัมผัสชั้นบรรยากาศ ที่ทำให้หินก้อนใหญ่กลายเป็นเพียงทรายเม็ดเล็กๆ และเสียงนั้นก็ได้เขย่าขวัญผู้คน

จากปากคำของ จัสตินา ลิแมช (Justina Limache) วัย 74 ซึ่งเป็นคนในพื้นที่กล่าวว่า เมื่อเธอ ได้ยินเสียงคำรามจากท้องฟ้า เธอก็ทิ้งฝูงอัลแพคคะ (alpaca) ที่เลี้ยงไว้แล้ววิ่งกลับเข้าไปอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ของเธอพร้อมกับหลานสาววัย 8 ขวบ และหลังอุกกาบาตกระแทกพื้นแล้วก็มีหินก้อนเล็กๆ ตกลงมาเป็นห่าฝนบนหลังคาบ้านของเธออยู่หลายนาที

อัวร์ซูลา มาร์วิน (Ursula Marvin) ผู้เชี่ยวชาญด้านอุกาบาตที่ศึกษาเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2504 ที่หอดูดาวฟิสิกส์ดาราศาสตร์สมิธโซเนียน (Smithsonian Astrophysical Observatory) ในแมสสาชูเสตต์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่าการที่ผู้คนเจ็บป่วยนั้นไม่น่าจะเกิดจากอุกกาบาตเองแต่น่าจะเกิดจาก ฝุ่นละอองที่อุกกาบาตทำให้เกิดขึ้นมากกว่า

ทั้งนี้เฮอร์นันโด ทาเวรา (Hernando Tavera) นักธรณีวิทยาจากสถาบันธรณีฟิสิกส์ (Geophysics Institute) ของเปรู กล่าวว่าเคยเกิดกรณีที่มีผู้คนเจ็บป่วยคล้ายกันนี้ในปี 2545 และ 2547 แต่ไม่มีการยืนยันว่าเกิดจากอุกกาบาต

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

action-download-free
free-yahoo
free-online-role-playing-game
free-race
pc-cheat-codes
wii-fitness
fun-for-couples
free-bridal-shower
free-trivia
spiderman-3-free

“มนุษย์ต่างดาว” มีจริงหรือไม่

มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่? คำถามที่มนุษย์โลกสงสัยและค้นหามาช้านาน แต่ก็ยังปราศจากคำตอบที่ชัดเจน

“สิ่งมีชีวิตสีเขียว” ที่ ดร.อัลลี แอร์โรเวย์ ตัวละครเอกในเรื่อง “คอนแทค” มุ่งมั่นตามหามาตลอด สอดคล้องกับความกระหายใคร่รู้ของมนุษย์ที่ต้องการติดต่อสื่อสารกับชีวิตที่ อยู่ต่างดาว

“คอนแทค” เกิดจากการผสมผสานเรื่องราวที่มีอยู่จริงเข้ากับเหตุการณ์สมมติได้อย่างลง ตัว ถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ที่ตื่นเต้น ล้ำจินตนาการ โดยมีการอ้างถึงโครงการ “เซติ” ที่มีอยู่จริง

“เซติ” (Search for Extraterrestrial Intelligence: SETI) หรือ การค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงปัญญานอกโลก ได้ทุนหลักจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) โดยใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดใหญ่ตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านอกโลก ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

การค้นหาสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกเริ่มมีขึ้นอย่างจริงจัง โดยปี 2518 ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุ เรียกว่า “อะรีซิโบเมสเซจ” จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุอะรีซิโบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เปอร์โตริโก ถูกส่งไปยังกระจุกดาวฤกษ์ทรงกลม เอ็ม13 ในกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส ที่ห่างจากโลก 25,000 ปีแสง

สัญญาณที่ส่งออกไปสามารถจัดเรียงได้ 2 รูปแบบ แบบไม่มีความหมาย และเป็นรูปภาพ ซึ่ง ประกอบด้วย ตัวเลข, ลักษณะดีเอ็นเอ, ลักษณะของมนุษย์โลกและข้อมูลของประชากรโลก, ระบบสุริยะของเรา สุดท้ายคือ กล้องโทรทรรศน์วิทยุและจานที่เราใช้รับ-ส่งสัญญาณ

กว่าสัญญาณที่เราส่งไปจะถึงที่หมายต้องใช้เวลาถึง 25,000 ปี และกว่าที่สัญญาณตอบกลับ (หากมีจริง) จะเดินทางมาถึงโลกของเราก็อีก 25,000 ปี ซึ่งรวมแล้วก็ 50,000 ปี แต่เหนือสิ่งอื่นใด การส่งสัญญาณนี้ถือเป็นการประกาศความสำเร็จทางเทคโนโลยีของมนุษย์มากกว่าที่ จะมุ่งติดต่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่อยู่ไกลโพ้น

แม้ที่ผ่านมานักดาราศาสตร์สามารถจับสัญญาณแปลกประหลาดได้มากมาย ทว่าไม่มีสัญญาณใดที่รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณที่มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอได้รับเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2520 เป็นคลื่นวิทยุจากนอกโลกที่น่าฉงนไม่น้อย ถอดเป็นคำออกมาว่า “ว้าว” และกลายเป็นชื่อเรียกขานสัญญาณนี้ (Wow! signal)

กระทั่งปี 2508 ปริศนามนุษย์ดาวอังคารก็คลี่คลายลงบ้างเมื่อยานมาริเนอร์ 4 สำรวจดาวอังคารลำแรกของสหรัฐฯ บันทึกภาพพื้นผิวดาวอังคารได้มากมาย และชัดเจนเลยว่าบนดาวแดงปราศจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อาศัยอยู่ หลังจากนั้นก็มียานอวกาศหลายลำถูกส่งไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง

นักวิทยาศาสตร์ได้ตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อยานไวกิ้งที่นาซาส่งไปสำรวจดาวแดงเมื่อปี 2518 ถ่ายภาพก้อนหินที่คล้ายใบหน้าได้บนดาวอังคาร ซึ่งก็มีทั้งที่ว่าเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ต่างดาว ขณะที่อีกฝ่ายอธิบายว่าเกิดจากแสงและเงาทำให้มองดู้คล้ายใบหน้าคน

ส่วนตัวอย่างก้อนหินและดินบนดาวอังคารที่ยานไวกิ้งนำกลับมาด้วย นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์องค์ประกอบต่างๆ แล้ว ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิต

หลายปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ของนาซาแถลงว่า ก้อนหินที่พบในทวีปแอนตาร์กติกา เป็นอุกาบาตที่มาจากดาวอังคาร ทั้งยังมีร่องรอยของจุลชีพโบราณที่เคยมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารเมื่อหลายล้าน ปีก่อนที่จะตกลงมายังโลกและถูกฝังอยู่ที่นั่นกว่าหมื่นปี

ดร.ศรันย์ โปษยะจินดา รอง ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) อธิบายว่า ใน กาแล็กซีทางช้างเผือกนั้นยังมีดาวฤกษ์อีกตั้ง 2 แสนล้านดวง มีระบบสุริยะอีกมากมาย จึงเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวดวงอื่นๆ นอกจากโลก แต่อาจยากสำหรับมนุษย์ที่จะหาเจอได้ในช่วงชีวิตของเรา

“นักชีวดาราศาสตร์ที่สนใจศึกษาเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกจะมุ่งค้นหา น้ำที่อยู่ในสถานะของเหลว เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องมีน้ำเป็นองค์ประกอบ ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์จะเกิดขึ้นได้ต้องมีน้ำที่อยู่ในสถานะของเหลวเป็นตัว กลาง จะเป็นของแข็งหรือก๊าซ” รอง ผอ.สดร. ชี้แจง

แต่ ศ.ดร.วิสุทธิ์ ใบไม้ นักชีววิทยา ผอ.โครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย หรือบีอาร์ที มองต่างออกไปว่า แม้ เป็นดาวที่ไม่มีน้ำก็อาจมีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยได้เหมือนกัน เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอาจไม่ต้องการปัจจัยการดำรงชีวิตเช่นเดียวกับที่ มีอยู่บนโลกของเรา

“สิ่งมีชีวิตบนโลกอยู่บนพื้นฐานของน้ำและคาร์บอน แต่สิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่ได้เป็นเช่นเดียวกับเรา อาจไม่ต้องการออกซิเจน แต่ใช้พลังงานจากรังสีแทนก็ได้ เพราะนิยามของสิ่งมีชีวิตคือ เคลื่อนไหวได้ สามารถสืบพันธุ์ มีลูกหลานดำรงพันธุ์ได้”

ศ.ดร.วิสุทธิ์ แจงต่อว่า หากสิ่งมีชีวิตที่ลอยมาในอวกาศตกลงบนดาวอังคารและเจริญเติบโตได้ก็กลายเป็น สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ซึ่งโลกกับดาวอังคารอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน สิ่งแวดล้อมต่างกัน สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็อาจต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนโลก

“จากการสำรวจพบน้ำแข็งบนดาวอังคาร นัก วิทยาศาสตร์ก็คาดคะเนว่าในอดีตบนดาวอังคารเคยมีน้ำเต็มไปหมด เหมือนอย่างโลกของเราตอนนี้ เป็นไปได้ว่าอาจเคยมีหรือมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคาร ส่วนโลกของเราก็เคยมีนักวิทยาศาสตร์ดาดการณ์ว่าอีก 1 พันล้านปี น้ำจะเหือดหายไปจากโลกเช่นกัน” ศ.ดร.วิสุทธิ์กล่าว

ด้าน ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ หัวหน้าหน่วยบริหารจัดการความรู้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโยลีชีวภาพ (ไบโอเทค) ก็เชื่อว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นอาจมีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่เหมือนกัน แต่การจะมีสิ่งมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาได้นั้น ต้องเป็นดาวเคราะห์ที่มีความเสถียรเช่นเดียวกับโลกของเราเป็นเวลานับหมื่นล้านปี มีน้ำ มีอุณหภูมิ และวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่เหมาะสม

สำหรับ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ นักชีวเคมี และ รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เห็นว่า นัยหนึ่งมนุษย์และสัตว์ต่างๆ บนโลกก็อาจเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่ติดมากับฝุ่นผงอวกาศในลูกอุกกาบาตก็ได้ ซึ่งในจักรวาลนั้นเราสามารถตรวจพบสารอินทรีย์ที่เป็นจุดกำเนิดสิ่งมีชีวิต เต็มไปหมด ส่วนว่าจะมีรูปร่างหน้าตาหรือมีภูมิปัญญาอย่างไรนั้นก็คงต้องแล้วแต่ปัจจัย บนดาวที่กำเนิดนั้นๆ เป็นตัวกำหนด

อย่างไรก็ดี ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ ที่หันมาศึกษาค้นคว้าเรื่องทางจิต รวมถึงจานบินและมนุษย์ต่างดาว ยืนยันว่ามีจริงแน่นอน ทั้งยังเคยพบเห็นและถ่ายภาพได้หลายต่อหลายครั้ง จึงทำให้เขาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนสามารถติดต่อกับพวกที่อยู่บนดาวอื่นได้

ดร.เทพนม เล่าต่อว่า มนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว จากหลักฐานต่างๆ ทั้งในถ้ำที่ จ.กาญจนบุรี หรือในจีน ซึ่งรายงานการค้นพบจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่มีอยู่ทั่วโลก จะเห็นมนุษย์ต่างดาวมีลักษณะต่างๆ แม้แต่พวกที่เป็นหุ่นยนต์ก็ยังมี

อย่างไรก็ดี ดร.เทพนม ยังบอกอีกว่า เคยมีการสำรวจพบสิ่งที่คล้ายพีระมิด อนุสาวรีย์ หรือตึกสูง บนดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดวงจันทร์ ซึ่งคาดกันว่าต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาสร้างขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ได้แน่ แต่ข้อมูลบางอย่างรัฐบาลของประเทศที่สำรวจพบจำเป็นต้องปกปิดไว้เป็นความลับ ทางการทหาร

ท้ายที่สุด ดร. เทพนม สรุปว่า ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ ย่อมจะสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ทรงภูมิปัญญาอยู่นอกจากโลกของเรา แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอาจไม่เหมือนบนโลก มีวิถีดำรงชีวิตที่แตกต่างกันไป อาจไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจน น้ำ หรือกินอาหารเหมือนอย่างที่พวกเราต้องการ

อย่างไรก็ดี การ พบเห็นหรือถ่ายภาพจานบินที่ปรากฏบนโลกของเรานั้น ดร.นำชัยชี้ว่า นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อแน่ๆ ว่ามีจริง เพียงแต่ที่เห็นกันนั้นไม่ใช่ของจริง และหากย้อนถามพวกเราเองว่า ถ้าเราจะเดินทางไปดาวดวงอื่น เราจะไปอย่างเปิดเผย หรือจะไปถึงแล้วก็หลบๆ ซ่อนๆ ไม่แสดงตัวว่าเรามาแล้ว

“ไม่ สมเหตุสมผลเลยที่มนุษย์ต่างดาวเดินทางมายังโลกของเราเป็นระยะทางหลายล้านปี แสงเพื่อมาหลบๆ ซ่อนๆ มิสู้เปิดเผยตัวตน แสดงเจตนารมณ์ และติดต่อกันอย่างเป็นทางการดีกว่าหรือ” ดร.นำชัย แสดงความเห็นทิ้งท้าย

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


history-of-video
play-fighting-online
free-printable-bridal-shower
printable-board
free-motorola
free-online-fighting
free-mac
cell-phone-downloads
christmas-for-kids
free-card-game-downloads

Standard Night time Ghost : ถึงเป็น "ผี" ก็มีมาตรฐาน

จริงอยู่ที่ "ผี" เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ หรือตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือที่เชื่อถือได้ จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ แต่ด้วยภาวะทางจิตใจ หลายคนก็อดกลัวไม่ได้ในยามวิเวกวังเวง พาให้คิด (หรืออาจเห็นจริงๆ !!) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามกลางคืน "เวลาผีปรากฎกายขึ้นต่อหน้าต่อตา !!

แม้ว่าวงการวิทยศาสตร์จะยังไม่ยอมรับเรื่อง "ผีๆ" และบางครั้งก็ปัดให้เป็นเรื่องราวของ "ไสยศาสตร์" ไป ทว่านักวิทย์บางคน (โดยเฉพาะฟิสิกส์) พยายามจะอธิบาย "การเกิดของผี" ในแง่ปรากฎการณ์ธรรมชาติ

ข้อเขียนเกี่ยวกับผี (ที่พยายามจะอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์) ที่โด่งดังที่สุด เห็นที่จะเป็น "ฟิสิกส์แห่งการหลอกหลอน" (The Physics of Haunting) ของ ดร.โดนัลด์ จี คาร์เพนเตอร์ (Dr. Donald G.Carpenter) นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเรื่องผี เขาเคยวิเคราะห์ทางฟิสิกส์และรวบรวมข้อมูลจากรายงานทั่วโลก จนออกมาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผีๆ โดยระบุว่า "ผี" เป็นสิ่งที่มีในธรรมชาติ และชอบอยู่ในความมืด

ทั้งนี้ ดร.คาร์เพนเตอร์ได้ศึกษาวิเคราะห์ทางฟิสิกส์การเกิด "ผี" โดยมีข้อสันนิษฐานว่า...

1. อย่างแรกสุด....กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ต้องสามารถใช้ได้กับภูติผีปีศาจ นั่นหมายถึง ผีก็อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของฟิสิกส์ ซึ่งเราถือว่าเป็นกฏสากลของธรรมชาติ

2. "ผี" ไม่ใช่เรื่องมายากล ไม่ใช่ปาฎิหาริย์ และไม่ใช้เรื่องนอกเหนือกฎธรรมชาติข้อใดๆ ทั้งสิ้น (ตามที่สันนิษฐานไว้ในข้อ 1.)

3. "ผี" (Ghost) "การหลอกหลอน" (poltergeist) และ "ดวงวิญญาณ" (Soul) ล้วนเกิดขึ้นมาจากสาเหตุเดียวกัน แต่เป็นปรากฎการณ์ในรูปแบบต่างกัน

4. ผี (จากกฎข้อ 1 แล้ว) นับเป็น “สิ่งที่มีตัวตน” (The Entity) ควรจะมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผีจากชาติใดๆ ก็ตาม

5. ในการปรากฎกายของผีโดยเฉลี่ยแล้ว “ร่าง” ของผีจะกินเนื้อที่เป็นปริมาณ ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม

ที่สำคัญสมมติฐานในการเห็นผี ดร.คาเพนเตอร์ตั้งเป็น "สแตนดาร์ต ไนท์ ไทม์ โกสต์" หรือ เอสเอ็นจี (Standard Night time Ghost : SNG) แยกไว้ 2 กรณี คือ

- กรณีแรก เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบเหตุ อาจเกิดจากการรบกวนกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง (หรืออาจจะเรียกว่า "ประสาทหลอน" )

หรือไม่ก็...เกิดจากการกระตุ้นให้สมองเกิดภาพหลอนขึ้นเอง โดยสิ่งเร้าภายนอก โดยอาจใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขนาดพอเหมาะยิงตรงไปยังสมองก็เป็นได้ หรือเกิดการควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก (ซึ่งเรียกว่า "ถูกควบคุมหรือถูกทำให้เกิดประสาทหลอน)

สรุปแล้วสมมติฐาน ข้อนี้ถือว่า "ผีไม่มีอยู่ในโลก" ...แต่ปรากฏการณ์ผีมีอยู่จริง (ซึ่งจริงในที่นี้คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุนั่นเอง)

- กรณีที่สอง ก็คือในทางตรงกันข้าม สรุปกันง่ายๆ ได้ว่า ผีเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ "ประสาทหลอน" หรือการควบคุมให้ประสาทหลอน

ทั้งนี้ ข้อมูลสนับสนุนสมมติฐานหลัง ก็คือกรณีที่ มีผู้เห็นผีพร้อมๆ กันในมุมมองที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าผีปรากฏตัวได้ด้วยการเปล่งโฟตอน (แสง) ออกมา ไม่ใช่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุเหล่านั้น

อย่างไรก็ดี การพบปะ "เห็นผี" ใช้ว่าจะไร้รูปแบบ (ถ้านึกอยากจะมาก็มาอาจจะไม่ใช่แน่) เพราะตามข้อมูลที่ ดร.คาร์เพนเตอร์รวบรวมไว้ และ ระบุเป็น SNG นั้น บอกขั้นตอนการพบผีไว้ถึง 7 ข้อด้วยกัน

1. "ผี" ต้องปรากฎตัวในเวลากลางคืน (เท่านั้น) การปรากฎตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานประมาณ 2 วินาทีถึง 10 นาที เสร็จแล้ว ต้องหายตัวไป แล้วจึงปรากฏกายขึ้นใหม่ได้อีก

2. "ผี" สามารถเปล่งแสงสว่าง เรืองแสงในตัวเองได้ โดยต้องมีกำลังส่องสว่าง อยู่ในช่วงความเข้มแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน จึงจะทำให้สายตามนุษย์สามารถมองเห็นได้

3. การปรากฏตัวของ "ผี" จะทำให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิลดลงอย่างเฉียบพลัน เนื่องจาก "ผี" ต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูลส์ เข้าไปสะสมทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้

4. การปรากฏกายของ "ผี" ต้องมีเครื่องนุ่งห่มด้วย และมักปรากฏในลักษณะเป็นภาพรางๆ โปร่งแสงมองทะลุได้บ้าง มีขนาดเล็กกว่าคน ธรรมดาทั่วไป

5. "ผี" จะปรากฏในสภาพที่หันหน้าเข้าหาผู้พบเห็นเสมอ

6. "ผี" มักปรากฏตัวในร่างเหมือนมนุษย์ (ประมาณ 90% ของรายงาน) มีน้อยมากที่ปรากฏตัวในร่างสัตว์

7. มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ "ผี" ในแต่ละครั้ง

*** หากไม่เข้าข่ายใน 7 ข้อนี้ ดร.คาร์เพนเตอร์ชี้ว่า อาจจะไม่ใช่ "ผี " อย่างที่เข้าใจได้ (ฉะนั้นไม่ต้องกลัว)

อย่างไรก็ดี ยังมีผู้กังขาขอสันนิษฐานของ ดร.คาร์เพนเตอร์ว่า "ผี" ใช้พลังอะไรกระตุ้นอิเล็กตรอนของบรรยากาศ จนทำให้เกิดการคายโฟตอน (หรือแสง) ออกมา? ซึ่งผีมีพลังงานในตัวเอง หรือมีวิธีนำพลังงานจากแหล่งอื่นมาใช้ (ได้อย่างไร??)

ยังไม่มีผู้ใดศึกษาและค้นหาผี (ในทางวิทยาศาสตร์) อย่างจริงจัง อาจเป็นเพราะอยู่นอกเหนือความสามารถของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ผู้ที่เห็นก็ได้แต่ยืนยันว่ามี ส่วนผู้ไม่เห็นกับตา หรือว่าไม่เชื่อก็ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หรือถ้ามองอย่าง "วิทยาศาสตร์" สามารถอธิบายแบบกว้างๆ ได้ว่า เป็นแค่พลังงาน หรือสสารอย่างหนึ่ง

ไม่รู้ว่า ระหว่าง "ผี" กับ "มนุษย์ต่างดาว" สิ่งมีชีวิต (หรือไม่มีชีวิต) ชนิดไหน จะพิสูจน์ถึงการมีอยู่ได้ก่อนกัน !!

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

christmas-trivia
classic-arcade
download-airport-tycoon-the-full-game
download-to-cell-phone-for-free
i-want-to-download-full-for-free
spiderman-3-online
free-spiderman-game
cw-the-game
online-batman
helicopter

ครั้งหนึ่ง "โมนา ลิซา" เคยมีคิ้วและยิ้มกว้างกว่านี้

ยิ้มของเธอมีเสน่ห์อย่างลึกลับแม้อยู่ภายใต้ ใบหน้าที่ปราศจากคิ้วและขนตา แต่ผลการวิเคราะห์ล่าสุดของวิศวกรฝรั่งเศสด้วยกล้องพิเศษที่วิเคราะห์ภาพ ตั้งแต่ช่วงคลื่นที่ตามองเห็นจนถึงรังสีอินฟราเรดและอัลตราไวโอเลต พบว่า "โมนา ลิซา" เคยมีทั้งขนคิ้วและขนตาและยังยิ้มกว้างกว่านี้

ปาสคาล คูต (Pascal Cotte) วิศวกรชาวฝรั่งเศสจากกรุงปารีสใช้กล้องความละเอียดสูง 240 เมกะพิกเซล (megapixel) เผยความลับภาพวาด "โมนา ลิซา" (Mona Lisa) อันทรงเสน่ห์ของลีโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยมีขนคิ้วและขนตา

ทว่าที่หายไปนั้นเพราะอายุขัยของสีน้ำมัน และดาวินชีก็ได้เปลี่ยนใจในการวาดตำแหน่งของนิ้วบนมือซ้าย 2 ตำแหน่ง อีกทั้งเดิมทีเดียวใบหน้าของลิซานั้นกว้างกว่านี้และยังมีรอยยิ้มที่กว้าง กว่านี้

"ด้วยภาพเดียวนี้จะทำให้คุณมองลึกลงไปยังโครงสร้างของภาพวาดและเข้า ใจว่าลีโอนาโดนั้นเป็นอัจฉริยะ" คูตกล่าวระหว่างนำเสนอผลงานในนิทรรศการ "ดาวินชี : นิทรรศการแห่งอัจฉริยะ" ที่เมทรีออนคอมเพลกซ์ (Metreon complex) ในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกาช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เขาได้รับอนุญาตให้ใช้กล้องที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาเองบันทึกภาพจริงของโมนา ลิซา และภาพที่ได้นั้นเขาระบุว่าสามารถมองลึกลงไปยังชั้นภาพวาดที่ดาวินชีระบาย ขึ้นในศตวรรษที่ 16 ได้

กล้องของวิศวกรวัย 49 จากฝรั่งเศสมีแผ่นกรองสี (colour filters) ถึง 13 สีซึ่งต่างจากกล้องทั่วไปที่มีเพียง 4 สี และในกระบวนการถ่ายภาพนั้นเขาได้ใช้เซนเซอร์รับช่วงคลื่นตั้งแต่แสงที่ตามอง เห็นไปจนถึงรังสีอินฟราเรดและอัลตราไวโอเลต

จากนั้นเขาก็ใช้เวลา 3,000 ชั่วโมงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ ซึ่งภาพที่ได้ออกมานั้นยังเผยให้เห็นว่าภรรยาของพ่อค้าผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นต้นแบบให้กับภาพโมนา ลิซานั้นถือผ้าคลุมไว้ด้วยแต่ปัจจุบันได้เลือนหายไปแล้ว

คูตยังกล่าวอีกว่าภาพต้นฉบับนั้นจะน่าเป็นสีโทนน้ำเงินและขาวสุกใส ขณะที่ภาพในปัจจุบันนั้นปรากกสีหนักไปทางสีเขียว เหลืองและน้ำตาล เขาเชื่อว่าเทคนิคที่เขาค้นพบนี้จะเป็นแนวทางในการซ่อมแซมงานศิลปะอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพียงภาพโมนา ลิซาอย่างเดียว

อีกทั้ง เขาได้ใช้กล้องดังกล่าวบันทึกภาพวาดกว่า 500 ภาพ ซึ่งรวมถึงภาพของ แวน โก๊ะ (Van Gogh) กูร์เบท์และภาพศิลปินยุโรปคนอื่นๆ

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

online-pool
fear-factor-birthday-party
pool
download-full-tycoon-for-free
free-action-download
online-board
free-internet-for-kids
girls-dress-up
the-worlds-hardest-game
strategy

"เมืองวิทยาศาสตร์" จินตนาการเด็กสร้างบ้าน-เมืองไร้ปัญหา

โบราณว่า "อย่าคบเด็กสร้างบ้าน" แต่บางทีการคบเด็กสร้างเมืองอาจนำความคิดดีๆ มาสู่ชีวิตคนเราที่มีสารพัดเรื่องรุมเร้าก็ได้ ลองมาดูจินตนาการของเยาวชนในค่าย "เมืองวิทยาศาสตร์" อาจจะโดนใจหลายคนจนอยากจะมีชีวิตอยู่ยาวนานเพื่อรอเมืองในอนาคตก็ได้

ด้วยปัญหารถติดที่เผชิญอยู่ในเมืองหลวง "เชน" หรือ ด.ช.นิพิฐ เจริญงาม นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงวาดภาพเมืองแห่งอนาคต ในจินตนาการของเขาว่า อยากให้มีการเดินทางที่สะดวกโดยไม่ต้องใช้รถส่วนตัวหรือแม้กระทั่งรถประจำ ทาง แต่ใช้เทคโนโลยีเทเลพอร์ตติง (teleporting) ที่สามารถเคลื่อนย้ายมวลสารจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งเทคโนโลยีที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเซลล์แสงอาทิตย์ (solar cell) ที่จะเป็นแหล่งพลังงานของเมือง

"เรา มีแดดเยอะและแสงอาทิตย์ก็จะเป็นแหล่งพลังงานได้มาก แม้ปัจจุบันประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานจะมีแค่ 15% แต่อนาคตก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และผมก็กำลังทำโครงงานเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่กว่าจะสำเร็จลงได้ก็อาจจะเลยช่วงชีวิตผมไปแล้วก็ได้" เชนกล่าว

ส่วนสาวน้อยช่างฝันอย่าง "เฟิน" หรือ น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ วรขจิต นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา แจงว่าอยากให้มี "หุ่นยนต์ผู้พิทักษ์" ที่จะคอยปราบหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือหุ่นยนต์เอไอ ที่คิดนอกลู่นอกทาง เนื่องจากปัจจุบันหุ่นยนต์เริ่มจะคิดเองได้และตอนนี้เรายังควบคุมได้ แต่อนาคตมนุษย์อาจไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งอยากให้หุ่นยนต์ผู้พิทักษ์คอยดูแลมนุษย์และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

"เนื่องจากหุ่นยนต์แต่ละตัวจะมีไมโครชิปฝังอยู่ และไมโครชิปแต่ละตัวสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ซึ่งจะช่วยให้หุ่นยนต์ผุ้พิทักษ์ทราบได้ว่าหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ นั้นคิดอะไรอยู่" เฟินกล่าว พร้อมทั้งเผยว่าอยากเขียนโปรแกรมสร้างระบบปฏิบัติการเล็กๆ ที่เป็นของคนไทย และสามารถใช้งานได้ในองค์กร เพราะส่วนใหญ่คนไทยจะใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ซึ่งเป็นของต่างชาติ และอยากพัฒนาโปรแกรมที่ใช้ภาษาไทยซึ่งคนไทยใช้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ภาษาไทยที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศอย่างที่เป็นอยู่

จินตนาการเมืองวิทยาศาสตร์ของเยาวชนยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ "โจ้" หรือ ด.ช.ขวัญชัย ปานสุข นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ปทุมธานี เผยถึงเมืองในอนาคตตามความคิดของเขาว่า อยากให้เมืองมีเส้นทางที่แยกเฉพาะสำหรับรถยนต์และคนเดินเท้า โดยทางเดินนั้นก็สามารถเลื่อนได้เองอัตโนมัติ

อีกทั้งอยากให้ทางเฉพาะสำหรบรถด่วนพิเศษเพราะปัจจุบันมีปัญหาที่หลายคนไปทำงานไม่ทัน
ส่วนสายไฟก็อยากฝังลงใต้ดิน นอกจากนี้พลังงานที่ขับเคลื่อนเมืองก็อยากให้เป็นพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ ร่วมกับพลังงานไฮโดรเจนที่แยกได้จากน้ำ

ขณะที่คนอื่นๆ อาจจะจินตนาการถึงเมืองที่มีความสะดวกสบาย แต่สำหรับ "ต่อ" หรือ ด.ช.ต่อพงศ์ ล้ำเลิศ นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนปทุมคงคา กล่าวว่าความสบายจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เพียงแล้วไม่อยากให้มีมากกว่านี้ แต่อยากให้คนสนใจสิ่งแวดล้อมมากกว่า

จินตนาการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเยาวชนที่เข้าค่าย "สร้างเมืองวิทยาศาสตร์ในอนาคต" ของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (ทีเอ็มซี) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นกิจกรรมสำหรับเด็กที่สนใจวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่จัดขึ้น ระหว่าง 30 พ.ย.- 1 ธ.ค.นี้ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยมีเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 45 คนเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งคัดเลือกจาก 3 กลุ่ม คือกลุ่มเยาวชนในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับ เด็กและเยาวชน (เจเอสทีพี) กลุ่มที่ส่งเรียงความเข้าประกวดและกลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนที่ผ่านการคัด เลือกจากโรงเรียน

ผศ.ดร.ยุทธนา ตันติรุ่งโรจน์ชัย ที่ปรึกษาฝ่ายส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษของทีเอ็มซีกล่าวว่า ค่ายนี้จัดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษหรือผู้ที่ไม่รู้ตัวว่า มีความสามารถพิเศษ และเป็นการสำรวจ "แวว" ของเด็กที่จะฉายออกมาระหว่างกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออก คิดและแก้ปัญหา จากนั้นจะได้ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้เข้าโครงการพัฒนาเด็กของทีเอ็มซีอย่าง เจเอสทีพีและโครงการอื่นๆ โดยจะสอนให้เยาวชนรู้จักการออกแบบแล้วแบ่งกลุ่มเพื่อลงมือประดิษฐ์เครื่อง มือเพื่อใช้ในเมืองวิทยาศาสตร์ตามจินตนาการ

"เป็นความพยายามช้อนเด็กที่หลุดลอดจากการคัดเลือกที่ผ่านมา" ผศ.ดร.ยุทธนากล่าว ทั้งนี้เยาวชนในค่ายได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการออกแบบโดยวิทยากรจาก อิสราเอล จากนั้นจะได้ประดิษฐ์ "พัดลม" อย่างง่ายด้วยชุดการเรียนรู้พื้นฐานทางวิศวกรรม K'NEX ที่มีอุปกรณ์พื้นฐานพร้อมให้ประกอบเข้าโดยง่าย ขณะเดียวกันก็สามารถออกแบบให้พัดลมหมุน ส่งเสียงและแสงได้ตามต้องการ ผ่านโปรแกรมสำเร็จที่มีชุดคำสั่งให้ได้ลองเลือกออกแบบพัดลมที่มีคุณสมบัติ ตามใจ จากนั้นก็เป็นกิจกรรมให้เด็ก ได้เลือกระหว่างออกแบบบ้าน รถยนต์หรือของเล่นที่จะเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับเมืองวิทยาศาสตร์ใน จินตนาการของแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ 3 กลุ่มที่สร้างผลงานถูกใจกรรมการจะได้รับรางวัลด้วย

สำหรับชุดการเรียนรู้ K'NEX ของอิสราเอลที่นำเข้าโดยบริษัท มัลติเอดูเคชั่น จำกัด ซึ่งเคยมีความร่วมกับทีเอ็มซีในการจัดค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนผู้มีความ พิการทางสายตา ส่วนจะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ชุดการเรียนรู้ดังกล่าวหรือไม่ ผศ.ดร.ยุทธนากล่าวว่าถือเป็นการได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายเพราะใช้เป็นอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้ให้กับเยาวชนได้โดยการกำหนดหลัก สูตรขึ้นมาเอง ขณะที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของชุดการเรียนรู้คือสถานศึกษาต่างๆ เนื่องจากทางบริษัทเน้นขายหลักสูตรที่มูลค่าเป็นเงินบาทอยู่ในหลักแสน

อย่างไรก็ดีจินตนาการของเยาวชนเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นความต้องการ เมืองที่ปราศจากปัญหาซึ่งประสบในปัจจุบัน และวิธีแก้ปัญหาที่อาจจะเป็นไปได้ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนจะเป็นจริงได้หรือไม่นั้นคงต้องอยู่ที่ความมุ่งมั่นของเขาเหล่านั้นนั่น เอง

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

free-bible
free-casino
sonic
download-wap
free-mario
where-did-the-olympic-come-from
free-blackberry
free-full-downloadable
drag-racing
free-j2me

Hello

prapasttaja